เลขที่ 919/541 อาคารจิวเวลรี่ เทรด เซ็นเตอร์ ชั้น49 ถนนสีลม แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพ ฯ ไทย 10500
“มนุษย์หนีไม่พ้นความดาย..และภาษี” โดยท่านอาจารย์ชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม เขียนไว้ในประมวลรัษฎากร(ฉบับมีคำอธิบายย่อและคำพิพากษาศาลฎีกาย่อ) นี่คือความจริงที่ไม่อาจหนีให้พ้นไปได้ โดยเฉพาะเรื่อง “ภาษี” นี้ แต่จะมีประโยชน์อะไรหากเราพยายามจะหนีในสิ่งที่ไม่อาจหนีได้อยู่แล้ว แต่ถ้าหากหันกลับมาเผชิญหน้ากับสิ่งนี้ล่ะ อาจจะทำให้เราไม่ต้องมาเดือดร้อนกับการพยายามหลบหนีสิ่งนี้อยู่ก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การจะเผชิญหน้ากับมันก็ควรจะต้องศึกษาข้อมูลก่อน ดังคำกล่าวที่ว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”
ประเภทของภาษีอากร มี 2 ประเภท คือ
ประเภทของการจัดเก็บภาษีในประเทศไทย
2). ภาษีเงินได้นิติบุคคล
3). ภาษีมูลค่าเพิ่ม
4). ภาษีธุรกิจเฉพาะ
5). ภาษีอากรแสตมป์
- ภาษีส่วนที่จัดเก็บโดยส่วนท้องถิ่น(เช่น อบต., เทศบาล หรือ สำนักงานเขต) ได้แก่
2. เงินได้ที่เกิดจากแหล่งภายนอกประเทศไทย หมายถึง เงินได้ที่เกิดขึ้นหรือเป็นผลสืบเนื่องมาจากมีผู้มีเงินได้มีหน้าที่งานที่ทำอยู่ในต่างประเทศ หรือมีกิจการของผู้มีเงินได้ที่ทำในต่างประเทศหรือมีทรัพย์สินของผู้มีเงินได้ในต่างประเทศที่อยู่ในต่างประเทศ โดยมีเงื่อนไขคือ ผู้มีเงินได้เกิดจากแหล่งภายนอกประเทศในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วจะต้องเสียภาษีเงินได้ ในประเทศไทยก็ต่อเมื่อเข้าองค์ประกอบทั้ง 2 ประการ คือ ผู้มีเงินได้เป็นบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็น "ผู้อยู่ในประเทศไทย" ในปีภาษีนั้น โดยกฎหมายให้ถือเอาบุคคลธรรมดาที่อยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะเวลา รวมทั้งหมดถึง 180 วัน หรือเกินกว่านั้น และผู้มีเงินได้นั้น ได้นำเงินได้ดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีนั้นด้วย
ส่วนภาษีอีกประเภทหนึ่งซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กันในทางธุรกิจ ก็คือ "ภาษีเงินได้นิติบุคคล" เป็นภาษีอากรตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฏากร จัดเก็บจากเงินได้ของบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล อันมีหลักการจัดเก็บที่สำคัญๆ โดยลำดับดังนี้
- ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้แก่ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้หมายความรวมถึง นิติบุคคลอื่นๆ ที่ไม่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วย อันมีรายละเอียดดังนั้
1). บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลลที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลดังนี้
1.1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ได้แก่ บริษัทจำกัด, บริษัทมหาชนจำกัด, ห้างหุ้นส่วนจำกัด, ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน
1.2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย ก็ต่อเมื่อเข้าเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น เข้ามากระทำกิจการในประเทศไทย
- บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น กระทำกระทำกิจการในที่อื่นๆ รวมทั้งในประเทศไทย
- บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น กระทำกิจการอื่นๆ รวมทั้งในประเทศไทยและกิจการี่กระทำนั้นเป็นกิจการขนส่งระหว่างประเทศ
- บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศนั้น มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2), (3), (4), (5) หรือ (6) ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย
- บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคต่างประเทศนั้น มิได้เข้ามาทำกิจการในประทศไทยโดยตรงหากแต่มีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อ ในการประกอบกิจการในประเทศไทย ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย
1.3) กิจการซึ่งดำเนินการเป็นทางการค้า หรือหากำไร โดยรัฐบาทต่างประเทศ หรือองค์การของรัฐบาลต่างประเทศ หรือนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
1.4) กิจการร่วมค้า (Joint Venture) ได้แก่ กิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางการค้าหรือหากำไรระหว่างบุคคลดังต่อไปนี้ คือ บริษัทกับบริษัท หรือบริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือบริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา หรือบริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติคคลกบคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล หรือบริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือบริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับนิติบุคคลอื่น
1.5) มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ แต่ไม่รวมถึงมูลนิติและสมาคมที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล
1.6) นิติบุคคลที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติจากรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฏากร
แต่ก็มีกรณีที่นิติบุคคลไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ โดยได้รับการยกเว้นโดยกฎหมาย คือ นิติบุคคลอื่นๆ นอกจากที่กล่าวมาข้างต้น และเฉพาะที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย เช่น กระทรวง ทบวง กรม องค์การของรัฐหรือสหกรณ์ ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลแต่อย่างใด
การคิดฐานภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ คำนวณจากเงินได้ที่ใช้เป็นหลักฐานในการคำนวณภาษี คูณด้วยอัตราภาษีที่กำหนด ดังนั้น เงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือฐานภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น โดยทั่วไปได้แก่ "กำไรสุทธิ" ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่กำหนด แต่เพื่อความเป็นธรรมและอุดช่องว่างในการจัดเก็บภาษีเงินได้ จึงได้มีการบัญญัติจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากเงินได้หรือฐานภาษีที่แตกต่างกันไป ดังนี้ คือ คิดจากกำไรสุทธิ หรือโดยคิดจากยอดรายได้ก่อนหักรายจ่าย หรือคิดจากเงินได้ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย หรือคิดจากการจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย
ดังนั้น ณ ปัจจุบันการเสียภาษีให้ครบถ้วนถูกต้องไม่ยากนัก เพราะมีการพัฒนาระบบราชการและการจัดเก็บให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ประกอบกับประชาชนผู้ต้องเสียภาษีสามารถตรวจสอบข้อมูลหรือสอบถามได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการขอความเห็นทางกฎหมายและทางปฏิบัติ การตอบข้อหารือต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องไว้โดยตรงได้ หรือจะเป็นนักกฎหมายภาษีได้อย่งกว้างขวางและรู้ลึกมาขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนผู้เสียภาษีได้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประชาชนผู้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีได้รับผลประโยชน์สุขกลับมาสู่ตนเองและส่วนรวมอย่างสูงสุด
.......................................................................................................................................