เลขที่ 919/541 อาคารจิวเวลรี่ เทรด เซ็นเตอร์ ชั้น49 ถนนสีลม แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพ ฯ ไทย 10500
ปัจจุบันรัฐได้มีมาตรการออกมาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมมากขึ้น ซึ่งทางสายหลักที่รัฐบาลพอจะทำได้นั้น ก็คือการออกกฎหมายใหม่ๆ ออกมาบังคับใช้ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามกันเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
กฎหมายหนึ่งที่ออกมาคุ้มครองประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน ก็ได้แก่ พระราชบัญญัติวิธีคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2551 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2551 เป็นต้นไป ได้กำหนดวิธีพิจารณาคดีในชั้นศาลในรูปแบบพิเศษ สำหรับใช้กับคดีผู้บริโภคเป็นการเฉพาะ แต่ตัวกฎหมายดังกล่าวก็มิได้จัดตั้งศาลชำนัญพิเศษขึ้นมาโดยเฉพาะแต่อย่างใด โดยมีเหตุผลในการประกาศใช้กล่าวว่า “โดยที่ปัจจุบันระบบเศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว และมีการนำความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตสินค้าและบริการมากขึ้น ในขณะที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ในเรื่องของคุณภาพสินค้าหรือบริการตลอดจนเทคนิคการตลาดของผู้ประกอบธุรกิจทั้งยังขาดอำนาจต่อรองการเข้ราทำสัญญาเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการ ทำให้ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบอยู่เสมอ นอกจากนี้ เมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้น กระบวนการในการเรียกร้องค่าเสียหายต้องใช้เวลานานและสร้างความยุ่งยากให้แก่ผู้บริโภคที่จะต้องพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงต่างๆ ซึ่งไม่อยู่ในความรู้เห็นของตนเอง อีกทั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีสูง ผู้บริโภคจึงตกอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบจนบางครั้งนำไปสู่การใช้วิธีการที่รุนแรงและก่อให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างผู้ประกอบธุรกิจกับกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอันส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ สมควรให้มีระบบวิธีพิจารณาคดีที่เอื้อต่อการใช้สิทธิเรียกร้องของผู้บริโภค เพื่อให้ผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายได้รับการแก้ไขเยียวยาด้วยความรวดเร็ว ประหยัดและมีประสิทธิภาพ อันเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค ขณะเดียวกันเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบธุรกิจหันมาให้ความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพของสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติขึ้น”
แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมตาม พ.ร.บ.นี้ มาตรา 18 ต่างกับการขอดำเนินโดยยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 155 และเหตุที่ศาลสั่งให้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมเมื่อมีพฤติการณ์อื่นที่ศาลเห็นสมควรตาม ม. 18 วรรคสอง ก็ไม่ใช่กรณีการประพฤติตนไม่เรียบร้อยตาม ป.วิ.พ. ม.160 ดังนั้น ถ้าศาลมีคำสั่งให้ชำระค่าฤชาธรรมเนียม ผู้บริโภคที่ไม่สามารถชำระตามคำสั่งศาลได้ น่าจะยื่นคำร้องขอยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมศาลได้ตาม ป.วิ.พ. ม.155 อยู่ โดยนำมาใช้โดยอนุโลมได้ (ความเห็นของท่านอาจารย์ไพโรจน์ วายุภาพ)
อีกเรื่องหนึ่งที่คุ้มครองผู้บริโภค อย่างสำคัญและน่าสนใจ คือ เรื่องเขตอำนาจศาลในการฟ้องคดี เป็นกรณีเฉพาะที่ผู้ประกอบการหรือผู้ประกอบธุรกิจซึ่งโดยมากมักจะเป็นผู้ที่มีอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจเหนือกว่าผู้บริโภคนั้น ได้เป็นโจทก์ฟ้องผู้บริโภคเป็นจำเลย ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ม. 17 กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจฟ้องได้เฉพาะแต่ศาลที่ผู้บริโภคมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลนั้นได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ไม่อาจนำเอาหลักทั่วไปตาม ป.วิ.พ. มาใช้บังคับได้ คือ ไม่อาจฟ้องผู้บริโภคต่อศาลที่มูลคดีเกิดหรืออสังหาริมทรัพย์ตั้งอยู่ได้ เช่น ผู้บริโภคกู้ยืมเงินธนาคารผู้ประกอบธุรกิจกันที่เชียงใหม่ แต่ผู้บริโภคอาศัยเป็นหลักแหล่งอยู่ที่จังหวัดสงขลา ธนาคารสามารถฟ้องบังคับเรียกเงินกู้คืนจากผู้บริโภคได้แต่เฉพาะศาลจังหวัดสงขลาหรือศาลแขวงสงขลาที่เป็นเขตศาลที่ผู้บริโภคมีภูมิลำเนาอยู่เท่านั้น จะไม่มีอำนาจฟ้องที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น
นราธิป ใจน้อย