ภาษา : ไทย
เข้าสู่ระบบ


รับข่าวสาร
อีเมล์ของคุณ :
 สมัคร    ยกเลิก




ติดต่อเรา


สังคมออนไลน์
  


  QR Code


สถิติของเว็บไซต์
01/08/2555
05/03/2567
6881271
374981


ออนไลน์
ผู้ใช้งานขณะนี้ :
 
 บุคคลทั่วไป  4 ราย


ทนายความดคีความผิดฐานปล้นทรัพย์ 

สาระสำคัญของความผิดฐานปล้นทรัพย์

1. ความผิดฐานปล้นทรัพย์นี้มีบัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ภาความผิด ลักษณะ 12 ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ หมวด 2 ความผิดฐานกรรโชก รีดทรัพย์ ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์

2. ผู้ใดชิงทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ปีถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 30,000 บาท ตามมาตรา 340 วรรคแรก

            ถ้าในการปล้นทรัพย์ผู้กระทำแม้แต่คนหนึ่งคนใดมีอาวุธติดตัวไปด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 12 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 24,000 บาทถึง 40,000 บาท ตามมาตรา 340 วรรคสอง

            ถ้าการปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปีถึง 20 ปี ตามมาตรา 340 วรรคสาม

            ถ้าการปล้นทรัพย์ได้กระทำโดยแสดงความทารุณจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ใช้ปืนยิง ใช้วัตถุระเบิด หรือกระทำการทรมาน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปีถึง 20 ปี ตามมาตรา 340 วรรคสี่

            ถ้าการปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต (สังเกตโทษตามวรรคนี้มีสถานเดียวและเป็นโทษขั้นร้ายแรงที่สุด คือ ประหารชีวิต)

3. ถ้าการชิงทรัพย์ได้กระทำต่อทรัพย์ตามมาตรา 335 ทวิ วรรคแรก (คือ กรณีเป็นการปล้นทรัพย์ที่มีไว้เคารพบูชา) ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ปีถึง 20  ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 40,000 บาท ตามมาตรา 340 ทวิ วรรคแรก

            ถ้าการปล้นทรัพย์นั้นเป็นการกระทำในสถานที่ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 335 ทวิ วรรคสอง (คือ ปล้นในสถานที่มีไว้เคารพบูชาและทรัพย์ที่ปล้นนั้นเป็นทรัพย์ที่มีไว้เคารพบูชา) ผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 15 ปีถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 30,000 บาทถึง 40,000 บาท ตามมาตรา 340 ทวิ วรรคสอง

          ถ้าการปล้นทรัพย์ตามวรรคแรกหรือวรรคสอง ผู้กระทำแม้แต่คนหนึ่งคนใดมีอาวุธติดตัวไปด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปีถึง 20 ปี ตามมาตรา 340 ทวิ วรรคสาม

            ถ้าการปล้นทรัพย์ตามวรรคแรกหรือวรรคสองเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต ตามมาตรา 340 ทวิ วรรคสี่

            ถ้าการปล้นทรัพย์ตามวรรคแรกหรือวรรคสองได้กระทำโดยแสดงความทารุณจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ใช้ปืนยิง ใช้วัตถุระเบิด หรือกระทำการทรมาน ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ตามมาตรา 340 ทวิ วรรคห้า

            ถ้าการปล้นทรัพย์ตามวรรคแรกหรือวรรคสองเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต ตามมาตรา 340 ทวิ วรรคท้าย (สังเกตโทษตามวรรคนี้มีสถานเดียวและเป็นโทษขั้นร้ายแรงที่สุด คือ ประหารชีวิต)

4. ความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 วรรคสามถึงวรรคท้ายนั้น และมาตรา 340 ทวิ วรรคสี่ ถึงวรรคท้าย เป็นกรณีที่ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้นเพราะผลของการกระทำเป็นผลที่ตามธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้ ตามมาตรา 63

5. “อาวุธ” ตามมาตรา 340 วรรคสอง และมาตรา 340 ทวิ วรรคสาม เป็นไปตามคำนิยามศัพท์ในมาตรา 1 (5) หมายความรวมถึงสิ่งซึ่งไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ แต่ซึ่งได้ใช้หรือเจตนาจะใช้ประทุษร้ายร่างกายถึงอันตรายสาหัสอย่างอาวุธ ซึ่งคำว่า “อันตรายสาหัส” เป็นอย่างไร เป็นไปตามมาตรา 297 วรรคสอง โดยอันตรายสาหัสนั้น คือ

            (1) ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียฆานประสาท (ความสามารถในการดมกลิ่น)

            (2) เสียอวัยวะสืบพันธุ์ หรือความสามารถสืบพันธุ์

            (3) เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้วหรืออวัยวะอื่นใด เช่น ฟันร่วงหมดปาก หรือจนไม่อาจเคี้ยวอาหารได้ เป็นต้น

            (4) หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว (ถ้ารักษาหายได้ก็ไม่เข้าอนุมาตรานี้)

            (5) แท้งลูก

            (6) จิตพิการอย่างติดตัว

            (7) ทุพพลภาพ หรือป่วยเจ็บเรื้อรังซึ่งอาจถึงตลอดชีวิต

            (8) ทุพพลภาพ หรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุขเวทนาเกินกว่า 20 วัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน

6. ความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 วรรคสองและวรรคสี่ ที่ผู้กระทำจะต้องรับโทษหนักขึ้นหรือเหตุเพิ่มโทษนั้น เป็นเจตนาของกฎหมายว่ามุ่งจะเอาผิดแก่ผู้ร่วมปล้นทุกคนเพราะผู้กระทำอาจใช้อาวุธนั้นทำร้ายผู้เสียหายอันเป็นเหตุฉกรรจ์ได้ แม้ผู้ร่วมกระทำที่ไม่มีอาวุธติดตัวมาด้วยจะไม่รู้ว่าผู้ร่วมกระทำอีกคนหนึ่งมีอาวุธติดตัวมาด้วยก็ตาม ก็ต้องรับผิดอย่างเดียวกันกับผู้ร่วมกระทำที่มีหรือใช้อาวุธนั้น อันไม่เป็นไปตามหลักกฎหมายในมาตรา 62 วรรคท้ายที่ว่า “บุคคลใดจะต้องรับโทษหนักขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงใด บุคคลนั้นจะต้องรู้ข้อเท็จจริงนั้น” แต่มีคำพิพากษาของศาลฎีกาที่เห็นได้ชัดว่าเป็นเหตุในลักษณะคดี ตามมาตรา 89 ที่ผู้ร่วมกระทำทุกคนต้องรับผิดเท่ากันนั้นเอง  (ตามความเห็นในหนังสือของท่านอาจารย์หม่อมหลวงไกรฤกษ์ เกษมสันต์ สำนักพิมพ์สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา)

            ตัวอย่างคำพิพากษาของศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

          - คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7750/2548 ตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคสอง บัญญัติว่า "ถ้าในการปล้นทรัพย์ผู้กระทำแม้แต่คนหนึ่งคนใดมีอาวุธติดตัวไปด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษ ฯลฯ" แสดงให้เห็นเจตนาของกฎหมายว่ามุ่งเอาผิดแก่ผู้ร่วมปล้นทรัพย์ทุกคน เพราะผู้กระทำอาจใช้อาวุธนั้นทำร้ายผู้เสียหายอันเป็นเหตุฉกรรจ์ได้ ความในวรรคสี่ของมาตราเดียวกันบัญญัติว่า "ถ้าการปล้นทรัพย์ได้กระทำโดย ฯลฯ ใช้ปืนยิง ฯลฯ ผู้กระทำต้องระวางโทษ ฯลฯ แสดงให้เห็นต่อเนื่องกันไปว่าถ้าผู้กระทำคนหนึ่งคนใดใช้ปืนยิงในการปล้นทรัพย์นั้น ผู้ร่วมปล้นทรัพย์ทุกคนก็ยังคงต้องร่วมรับผิดในการกระทำนั้นตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในมาตราเดียวกัน เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิงในการปล้นทรัพย์ จำเลยที่ 2 จึงต้องมีความผิดตามบทบัญญัติในวรรคสี่ของมาตรา 340 ด้วย.

....อ่านเพิ่มเติม คลิ๊ก....

7. ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา 339(ความผิดฐานชิงทรัพย์) , มาตรา 339 ทวิ(ความผิดฐานชิงทรัพย์ที่มีไว้เพื่อเคารพบูชาหรือในสถานที่เคารพบูชา) , มาตรา 340(ความผิดฐานปล้นทรัพย์ หรือมาตรา 340 ทวิ (ความผิดฐานชิงทรัพย์ที่มีไว้เพื่อเคารพบูชาหรือในสถานที่เคารพบูชา) โดยแต่งเครื่องแบบทหารหรือตำรวจ หรือแต่งกายให้เข้าใจว่าเป็นทหารหรือตำรวจ หรือโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ต้องระวางโทษหนักขึ้นกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ กึ่งหนึ่ง ตามมาตรา 340 ตรี

 

 

 

 ***** บริษัท เอสเอ็มอี ลอว์ เซอร์วิส จำกัด บริการด้านกฎหมายครบวงจร โดยให้การบริการภายใต้คำนิยาม บริการด้านกฎหมาย ด้วยหัวใจนักกฎหมายมืออาชีพ” มีปัญหาเรื่องกฎหมายโทรหาเราที่เบอร์   02-6300-460 , 02-2365-722 เวลา 8.30-18.00 นาฬิกา วันจันทร์-เสาร์ นอกเวลาดังกล่าวสามารถติดต่อได้ที่ 083-4925-816   หรือ                          ทาง e-mail :smelawservice@hotmail.com  ทาง facebook : www.facebook.com/smelawservice    ทาง twitter : twitter.com/smelawservice *****

 

 

 

หน้าที่ของทนายความคดีความผิดฐานปล้นทรัพย์

 

1. เตรียมคดีโดยการค้นหาข้อเท็จจริงจากบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายให้รอบด้านมากที่สุด

2. พบและให้คำปรึกษาลูกความเป็นการส่วนตัวในกรณีลูกความเป็นฝ่ายผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหา ตามสิทธิในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 7/1(1) และในชั้นศาล ไม่ว่าลูกความจะเป็นฝ่ายโจทก์ผู้เสียหายหรือจำเลย อย่างถูกต้องครบถ้วน เพื่อการตัดสินใจของลูกความได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. อยู่ร่วมในการสอบสวนกับลูกความกรณีเป็นฝ่ายผู้ต้องหา ตามสิทธิใน มาตรา 7/1(2) ประกอบมาตรา134/1 และมาตรา 134/3

4. ดำเนินการช่วยเหลือลูกความให้ได้รับการประกันตัวกรณีลูกความถูกจับอยู่ไม่ว่าจะในชั้นพนักงานสอบสวน หรือชั้นฝากขังต่อศาลทั้งกรณีการถูกคุมขังโดยชอบด้วยกฎหมายหรือโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา90 หรือมาตรา 106

5. ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมให้แก่ลูกความเพื่อรักษาสิทธิต่างๆ กรณีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ ตามมาตรา 30

6. กรณีเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ต้องดำเนินการขอให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอเรียกทรัพย์สินหรือใช้ราคาแทนทรัพย์สินของลูกความที่เสียหายไปจากการกระทำความผิดในฐานความผิดที่ระบุไว้ ตามมาตรา 43 หรือยื่นคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนให้แก่ลูกความ ตามมาตรา 44/1

7. ค้นหาพยานหลักฐานทั้งหลายที่เกี่ยวข้องเพื่อจะนำมาพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของจำเลย

8. ตรวจค้นข้อกฎหมาย และคำพิพากษาของศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง รวมถึงตรวจสอบอายุความหรือระยะเวลาในการดำเนินคดีของลูกความ

9. ติดตามผลคดีของลูกความอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาประโยชน์แก่ลูกความเป็นสำคัญ

10. ดำเนินการให้ลูกความที่เป็นเจ้าของทรัพย์ที่ถูกยึดไว้เป็นของกลางให้ได้รับคืนของกลางกรณีเจ้าของไม่ได้รู้เห็นเป็นใจให้ทรัพย์นั้นได้ใช้ในการกระทำความผิดด้วย ตามมาตรา 49  ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 วรรคสองหรือมาตรา 34 วรรคสอง